พอได้ยินว่าเราได้ทุนทำงานนี้ต่อ เราทุกคนดีใจละตื่นเต้นมาก
เพราะคราวที่แล้ว
เรารู้สึกสนุกและยังมีความรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรที่เอามาใส่ในงานได้อีก ทั้งเกลและนิ้กกี้
ศิลปินสองคนจากออสเตรเลียก็ดูเข้ากับพวกเราได้ดี มีความอดทนและเปิดกว้าง
อาทิตย์แรกเมื่อมาถึงที่ดาร์วิน อากาศไม่มีผลอะไรมากนักเพราะแทบจะอุณหภูมิเดียวกันเลยทีเดียว วันแรกผ่านไปด้วยการพูดคุยทักทาย
เราลงเล่นน้ำในสระที่บ้านของเกล และแน่นอนวามันต้องจบลงที่
อาหารเหมือนที่มันเคยเกิดขึ้นเป็นประจำตอนอยู่บ้านเรา น่าแปลกที่เราน้ำลายไหล เมื่อเห็นมะม่วงดิบตามต้นมะม่วงที่มีอยู่ทั่วไปในดาร์วิน
แต่พวกป้าๆ กลับไม่ใส่ใจใยดี
พอพวกเราบอกว่ามันมีวิธีกินนะ
และไม่รอช้าเลยที่จะแสดงให้เห็นว่ายำมะม่วงรสชาติจัดจ้านชวนน้ำลายสอมันเป็นยังไง หึหึ ทำไงได้ล่ะเนอะ
คนไทยเรากับอาหารไทยน่ะมันอยู่ในสายเลือด
กินไปก็ถามสูตรไปท่าทางติดใจ
ของมันก็ทำได้ง่ายๆ น่ะ หมุนๆ
ดูในครัวก็มีกันทั้งนั้น
ได้ข่าวว่าสองวันต่อมาเกลก็ทำยำมะม่วงให้ลูกสาวกินอีก เอิ่ม
เรียกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันตั้งแต่มาถึงกันเลยทีเดียว
ตอนนี้เราเริ่มทำงานไปบ้างแล้ว สิ่งที่เรากังวลและสงสัยก็ถูกทำให้
กระจ่างขึ้นจากการพูดคุย เพราะดูแล้วเราก็มีสิ่งใหม่ที่เราสนใจอยากจะบอกเล่า
อยากเอามาใส่ในงาน
คราวนี้มันเป็นสิ่งที่เราคุ้นหูแต่ไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรมาก
อย่างเช่นจระเข้ ก่อนเราจะมาจากเมืองไทย
มีข่าวสองสามข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับจระเข้ แล้วจะว่าไป
ครั้งที่แล้วที่เรามาเปิดแสดงหุ่นเงาที่ดาร์วิน เราก็ ฝังใจกับจระเข้ที่นี่
เพราะนอกจากจะมีมากมายแล้ว ยังดุร้ายเอามากๆ อีกด้วย เมื่อลองกลับมาคิดทบทวนและ
หาข้อมูลจากที่ต่างๆ ทำให้เรารู้สึกว่า ความรู้สึกที่มีต่อจระเข้
ที่บ้านกับที่นี่มันต่างกันมาก เพราะที่บ้าน
ถึงเราจะได้ข่าวความดุร้ายของมันยังไง
เราก็ยังรู้สึกว่าจระเข้บ้านเรายังมีความเป็นมิตรอยู่บ้าง และจาก
นิทานพื้นบ้านหรือ วรรณคดีของเรา จระเข้อยู่ในสถานะต่างๆ
ที่หลากหลายและมีมิติที่มากกว่า เครื่องจักรสังหารที่คนดาร์วินรู้สึก มากมายนัก ดังนั้น ความสนใจที่เกิดขึ้น
มันน่าจะมีความแตกต่างหรือความเชื่อมโยงบางอย่างกับคนที่นี่ หรือไม่ก็
เราอาจจะหยิบยื่นมุมมองใหม่ที่คนต่างถิ่นอย่างเรามองสัตว์ชนิดนี้ในบ้านเราให้คนที่นี่ได้รับรู้ งานนี้ชาละวัน ไกรทอง ได้คิวออกอาละวาดเสียก็ไม่รู้
Bow(โบว์)
No comments:
Post a Comment